รู้หรือไม่ ต่อให้เรารักษาศีลถึง 100 ปี ก็สู้การทำ 1 สิ่งนี้ไม่ได้

รู้หรือไม่ ต่อให้เรารักษาศีลถึง 100 ปี ก็สู้การทำ 1 สิ่งนี้ไม่ได้

 

รู้หรือไม่ ต่อให้เรารักษาศีลถึง 100 ปี ก็สู้การทำ 1 สิ่งนี้ไม่ได้

 

“บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไป

ก่อนเมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด

เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว?”

รู้หรือไม่ ต่อให้เรารักษาศีลถึง 100 ปี ก็สู้การทำ 1 สิ่งนี้ไม่ได้

การเจริญภาวนานั้นเป็นการสร้างบุญสะสมไว้ที่ถือได้ว่าได้บุญบารมีมากที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนาถือว่า

เป็นแก่นแท้และได้บุญสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก เพราะว่าการเจริญภาวนาเป็นการเน้นระงับการทำความชั่วทาง “ใจ”

คือเป็นการซักฟอกจิตให้สะอาดบริสุทธิ์

พระพุทธองค์กล่าวเอาไว้ว่า

“แม้จะรักษาศีล 227 ข้อให้ไม่ด่างพร้อยถึง 100 ปีก็สู้การทำสมาธิภาวนาเพียงแค่ชั่วไก่กระพือปีกหรือช้างกระดิกหูไม่ได้”

การเจริญภาวนานั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. การทำสมาธิด้วยสมถะภาวนา

การทำสมาธิแบบสมถะภาวนาคือ การกำหนดใจให้นิ่งกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่เป็นอารมณ์เดียว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามขอให้เพียงแต่ใจอยู่นิ่งไม่

วอกแวกก็คือเป็นสมาธิ ถ้าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดและคนไทยเราคุ้นเคยที่สุดก็คือ “การไหว้พระสวดมนต์”

รู้หรือไม่ ต่อให้เรารักษาศีลถึง 100 ปี ก็สู้การทำ 1 สิ่งนี้ไม่ได้

การกำหนดจิตด้วยการสวดมนต์นี้จะทำให้จิตนิ่งอยู่ที่บทสวดก็เรียกได้ว่าเป็นการทำสมาธิระดับต้นขั้นที่หนึ่ง (ขณิกสมาธิ)

2. การเจริญปัญญา

การเจริญปัญญานั้นต่างไปจากความเป็นสมาธิ ตรงที่สมาธิเป็นเพียงการทำใจให้สงบนิ่งอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอารมณ์เดียวแน่นิ่งอยู่อย่าง

นั้นโดยไม่ได้นึกคิดอะไร แต่การเจริญปัญญา (คำพระท่านว่า วิปัสสนา) ไม่ใช่ทำให้แค่จิตใจตั้งมั่นอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น

การเจริญปัญญานั้นเป็นการคิด “ใคร่ครวญ” เพื่อหาเหตุผลในสภาวะที่เป็นธรรมและความจริงในแต่ละสรรพสิ่งว่า สิ่งทั้ง

หลายในโลกนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป (อนิจจัง) ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ (ทุกขัง) คือทุกอย่างเป็น

สภาพที่ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้ เกิดขึ้นแล้วไม่อาจทรงตัวต้องเปลี่ยนแปลงไป ทำให้อารมณ์เกิดความเปลี่ยนแปลง

ไปตามวัตถุซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ตามมา และ สุดท้ายคือ ทุกสิ่งไม่มีตัวตนและไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็นของๆ ใครใดๆ ทั้งสิ้น (อนัตตา)

ผลของการเจริญสมาธิและปัญญาจะทำให้พบความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร

ความสุขที่ได้จากการเจริญภาวนานั้นเป็นความสุขที่เรียกได้ว่า “ละเอียด” กว่าความสุขทางกายมากมายนัก และมีถึง 3 ขั้นคือมีความสุขใน

ปัจจุบัน สุขในโลกหน้า และมีความสุขเป็นที่สุดคือนิพพาน

1. ความสุขในปัจจุบัน

เมื่อฝึกทำสมาธิได้ในระดับเบื้องต้นเพียงแค่ปล่อยวางใจให้ผ่อนคลายกับเรื่องราวต่างๆ ได้ก็เกิดผลบุญขึ้นคือ ใจเป็นสุขที่ได้ปล่อยวางได้พบกับ

ความสุขใจขั้นพื้นฐานได้แก่ เมื่อหลับก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข จะนั่ง นอน ยืน หรือเดิน ไม่ว่า

อิริยาบถไหนๆ ก็มีความสุขทั้งสิ้น สุขไม่ต้องเลือกเวลาและสถานที่เพราะว่าจิตใจของเรานิ่งเป็นสุขแล้ว (พระท่านว่า “นัตถิ สันติปะรัง สุขัง”

สุขอื่นนอกจากหยุดนิ่งนั้นไม่มี

2. ความสุขในโลกหน้า

ความสุขในระดับขั้นต่อไปคือ เมื่อได้ละจากโลกนี้ไปแล้วจะได้ไปเสวยสุขในภพภูมิที่เป็นสุขขึ้นไปในโลกหน้า เพราะการที่เราจะไปสู่ “สุคติ”

หรือภพที่ดีนั้น ขึ้นอยู่กับความหมองหรือความใสของจิตเป็นหลักหากก่อนจากไปมีจิตใจที่ผ่องใส

เป็นสุข ก็มีสุคติเป็นที่ไป หากก่อนจากไปจิตมีความขุ่นข้องเป็นทุกข์ก็มี ทุคติเป็นที่ไปตามหลักกรรมแห่งอาสันนกรรม

3. ความสุขอันเป็นนิพพาน

การเจริญภาวนานั้นเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากกิเลส หากหมั่นเพียรฝึกฝนจนกระทำสำเร็จจนสิ้นกิเลสในภพชาติปัจจุบันก็จะทำให้จิตหลุดพ้นไม่ต้อง

กลับไปเวียนว่าย ในสังสารวัฏอีก อันหมายถึงพระนิพพาน ซึ่งความสุขแบบนี้มีแต่พระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันต์เท่านั้นที่สามารถไปถึงได้

หากเราต้องการที่จะไปถึงความสุขพ้นทุกข์ไปตลอดกาล ในภพชาติปัจจุบันก็ต้องพยายามฝึกฝนไปเรื่อยๆ หากไม่ถึงนิพพานในชาตินี้ชาติหน้าก็

จะถึงได้แน่นอนต้องหมั่นสะสมบุญบารมีไปและต้องมีเคล็ดวิธีการฝึกสมาธิและการเจริญปัญญาที่ถูกต้องจากผู้ที่รู้จริงเท่านั้น

การสร้างและสั่งสมบุญนั้นจึงเป็น “งานสำคัญของชีวิต” ควรที่เราจะต้องกระทำให้เป็นนิสัยจนกระทั่งกลายเป็นส่วนหนึ่งไปเลยดังที่บรรพบุรุษของ

เราเคยกระทำมาโดยคนโบราณนั้นถึงกับมีคติในการสร้างบุญบารมีเอาไว้ว่า

“เช้าใดยังไม่ได้ให้ทานหรือทำทาน เช้านั้นก็อย่าเพิ่งกินข้าว”

“วันใดที่ยังไม่ได้สมาทานศีลเพื่อที่จะตั้งใจรักษาศีล วันนั้นก็อย่าเพิ่งออกจากบ้าน”

“คืนใดที่ยังไม่ได้สวดมนต์ นั่งเจริญสมาธิภาวนาคืนนั้นก็อย่าเพิ่งเข้านอน”

ลองถ้าเราตั้งเงื่อนไขการสร้างบุญซึ่งไม่ใช่เรื่องทำยากเลยไว้เช่นนี้เมื่อทำจนเป็นนิสัยมันก็จะติดตัวเราไปและยังประโยชน์ให้เกิดกับคนรอบข้าง

ไปด้วยเพราะเขาจะพบเห็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้วก็จะเริ่มเกิดศรัทธาหันมาทำตามเป็นการพากันสร้างบุญกลุ่มให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไป

เมื่อสร้างบุญมาดีแล้ว บุญนี้จะเก็บไว้กับตัวเสียก่อน เมื่อสร้างให้มากๆ ยิ่งดีเพราะเมื่อถึงเวลานำไปใช้แล้วจะได้มีใช้ไม่ขาดแคลน

ดังคำสอนของสมเด็จของพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสีที่ท่านกล่าวเป็นอมตะวาจาว่า

“บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า ลูกเอ๋ย ก่อนที่จะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไป

ก่อนเมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะ

หนี้สินในบุญบารมีที่ไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัวแล้วเจ้าจะมี

อะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง จงจำไว้นะเมื่อยังไม่ถึงเวลา

เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นเมื่อถึงเวลา ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน

เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า”

หมั่นสร้างบุญอย่างสม่ำเสมอให้มากพอและยาวนานพอส่วนจะนำบุญไปใช้ให้เกิดผลเร็วๆ อย่างไรนั้นจะกล่าวในบทของ

เคล็ดของการนำบุญมาใช้ต่อไป

 

 

 

 

 

 

เลขเด็ดออนไลน์ ตรวจผลหวยรัฐบาล หวยลาว หวยฮานอย หวยมาเลย์ แนวทางหวย รวบรวมทุกอย่างครบจบในเว็บเดียวเพื่อความสะดวกสบาย และยังมี วิธีการขอหวย สถานที่ขอหวยที่ศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยรวบรวมมให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาอ่านศึกษากันอย่างครบครัน แนวทางที่ทางเว็บเรานำมาแบ่งปันให้คนรักหวยได้ชม.

*** ดวงรายวัน เลขเด็ดมงคล เลขมงคล เลขเสี่ยงทาย ดูดวงจากตัวเลข ทำนายฝัน ***

ต้องที่นี่ >>> เลขเด็ดออนไลน์ <<<

 

 

 

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูล : gangbeauty.com

และภาพจาก Pixabay

เรื่องน่าสนใจ

เพื่อสุขภาพที่ดี ควรรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร และ เวลาไหนไม่ควรทำอะไร

เพื่อสุขภาพที่ดี ควรรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร และ เวลาไหนไม่ควรทำอะไร

เพื่อสุขภาพที่ดี ควรรู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร สำคัญมาก ตื่นตอนไหน นอนตอนไหน เวลาไหนควรทำอะไร บางครั้งการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ทำไมสุขภาพยังแย่ ป่วยบ่อย เพราะ หลายๆคนยังเข้านอนไม่ถูกเวลา หลายๆคนยังไม่รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร และ เวลาไหนไม่ควรทำอะไร     หลายๆคนยังไม่เคยได้ยินคำว่า “นาฬิกาชีวิต” รู้หรือไม่ว่า กระบวนการทำงานต่างๆในร่างกายนั้นถูกกำหนดด้วยเวลา ทุกอวัยวะจะทำงานตามเวลาของมันเองอย่างเป็นระบบ ซึ่งถูกกำโดยธรรมชาติตั้งแต่ยุคสมัยบรรพบุรุตแล้ว เมื่อก่อนมนุษย์เราไม่มีนาฬิกาบอกเวลา ทำให้ร่างกายรับรู้เวลาจากแสงอาทิตย์นั่นเอง ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก ช่วยปรับให้ร่างกายทำงานเป็นระบบ เราต้องตื่นในตอนกลางวัน และ เข้านอนในตอบกลางคืน ธรรมชาติกำหนดมาแบบนั้น แต่ปัจจุบันเรามีแสงจากหลอดไฟ ทำให้การใช้เวลาของเราผิดไปจากธรรมชาติอย่างมาก     แล้วเวลาไหนควรทำอะไร… 01.00 ? 03.00 น. เราควรนอนหลับพักผ่อนให้สนิท เพราะช่วงนี้เป็นการทำงานของ “ตับ” ซึ่งถ้าหลับสนิท ตับจะหลั่งสารมีราโทนินเพื่อกำจัดเชื้ อ โ รค ในร่างกาย แต่ถ้าใครไม่ยอมนอน แถมยังใช้ร่างกายหนักๆ ด้วยการกิน […]

ทายนิสัยจากสีเสื้อผ้าที่ชอบใส่ แม่นแค่ไหนมาดูกันเลย! สไตล์การแต่งตัว บอกนิสัย

ทายนิสัยจากสีเสื้อผ้าที่ชอบใส่ แม่นแค่ไหนมาดูกันเลย! สไตล์การแต่งตัว บอกนิสัย

ทายนิสัยจากสีเสื้อผ้าที่ชอบใส่ ทายนิสัยจากสีเสื้อผ้าที่ชอบใส่ แม่นแค่ไหนมาดูกันเลย! สีเสื้อผ้าที่ชอบใส่กันดังนั้น รู้ไหมว่ามันแสดงถึงตัวตน และ นิสัยใจคอของคุณได้ ว่าแต่เพื่อนๆชอบใส่เสื้อสีอะไรกัน…วันนี้เรามีคำทำนาย ทายนิสัยสีเสื้อที่ชอบใส่กันคะ พร้อมแล้วเรามาเริ่มกัน… โทนสีขาว-ดำ สำหรับคนที่ชอบแต่งตัวแบบโทนสีขาว-ดำ มักเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตค่อนข้างซีเรียสไปเสียทุกเรื่อง และไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน มักจะสนใจและจะทุ่มเทกับการทำงานมากกว่าชีวิตในด้านอื่น จะมีความสุขเป็นพิเศษหากงานที่ตนทำนั้น ประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้     โทนสีมืด สำหรับคนที่ชอบแต่งตัวแบบโทนสีมืด มักเป็นคนที่มีความลับ ไม่ชอบการเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง เป็นคนที่มีซับซ้อนอยู่ในตัวเองสูง สนใจในเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับ เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ ชอบแสวงหาความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับจิตใจอันซับซ้อนของคน สนใจในเรื่องการศึกษานิสัยใจคน เป็นคนฉลาดล้ำลึก   โทนสีสดใส สำหรับคนที่ชอบแต่งตัวแบบโทนสีสดใส มักเป็นคนนิสัยร่าเริง แจ่มใส มีชีวิตชีวา คุยเก่ง มีมนุษยสัมพันธ์กับคนรอบข้างเข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบการเป็นจุดเด่นให้คนอื่นสนใจ เป็นคนเฉลียวฉลาด ทำงานเก่ง เป็นคนมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามเป็นอย่างมากใครเห็นใครรัก   โทนสีพาสเทล สำหรับคนที่ชอบแต่งตัวแบบโทนสีพาสเทล (สีสว่าง ๆ ใสๆ อ่อนๆ) มักเป็นคนหัวอ่อน มองโลกในแง่ดี อารมณ์อ่อนไหว เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความรักและเรื่องครอบครัวเป็นอย่างมาก เป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ ซึ่งมักจะไม่ค่อยมีความคิดเป็นของตนเอง […]

วันสารทจีน คือวันอะไร วันสารทจีนตรงกับวันไหน

วันสารทจีน คือวันอะไร วันสารทจีนตรงกับวันไหน

วันสารทจีน คือวันอะไร วันสารทจีนตรงกับวันไหน   วันนี้ ทางเลขเด็ดออนไลน์ ได้นำเรื่องราวความเชื่อ ที่สืบทอดกันตั้งแต่โบราณ มาฝากกัน วันสารทจีน เทศกาลของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน วันสารทจีนคือวันอะไร และ วันสารทจีนตรงกับวันไหน     วันสารทจีน หรือ เทศกาลสารทจีน เป็นเทศกาลสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยมีพิธีเซ่นไหว้ และชาวจีนยังมีความเชื่อกันว่ายังเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญด้วย เทศกาลสารทจีน 2565 ตามปฏิทินไทยคือ วันศุกร์ ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565   ตำนานวันสารทจีน : วันสารทจีนตำนานที่ 1 วันสารทจีน ตำนานนี้กล่าวไว้ว่า วันสารทจีนเป็นวันที่ “เงี่ยมหล่อเทียนจื้อ” หรือ “ยมบาล” จะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย ส่งวิญญาณดีขึ้นสวรรค์และส่งวิญญาณร้ายลงนรก ชาวจีนทั้งหลายรู้สึกสงสารวิญญาณร้ายจึงทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ดังนั้นเพื่อให้วิญญาณร้ายออกมารับกุศลผลบุญนี้จึงต้องมีการเปิดประตูนรกนั่นเอง ตำนานวันสารทจีน : วันสารทจีนตำนานที่ 2 วันสารทจีน ตำนานนี้กล่าวไว้ว่า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า “มู่เหลียน” (พระมหาโมคคัลลานะ) เป็นคนเคร่งครัดในพุทธศาสนามาก ผิดกับมารดาที่เป็นคนใจบาปหยาบช้าไม่เคยเชื่อเรื่องนรก สวรรค์มีจริง ปีหนึ่งในช่วงเทศกาลกินเจนางเกิดความหมั่นไส้คนที่นุ่งขาวห่มขาวถือศีลกินเจ นางจึงให้มู่เหลียนไปเชิญผู้ถือศีลกินเจเหล่านั้นมากินอาหารที่บ้านโดยนางจะทำอาหารเลี้ยงหนึ่งมื้อ ผู้ถือศีลกินเจต่างพลอยยินดีที่ทราบข่าวว่ามารดาของมู่เหลียนเกิดศรัทธาในบุญกุศลครั้งนี้ จึงพากันมากินอาหารที่บ้านของมู่เหลียน แต่หาทราบไม่ว่าในน้ำแกงเจนั้นมีน้ำมันหมูเจือปนอยู่ด้วย การกระทำของมารดามู่เหลียนนั้นถือว่าเป็นกรรมหนัก เมื่อตายไปจึงตกนรกอเวจีมหานรกขุมที่ 8 เป็นนรกขุมลึกที่สุดได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อมู่เหลียนคิดถึงมารดาก็ได้ถอดกายทิพย์ลงไปในนรกภูมิ จึงได้รู้ว่ามารดาของตนกำลังอดอยากจึงป้อนอาหารแก่มารดา แต่ได้ถูกบรรดาภูตผีที่อดอยากรุมแย่งไปกินหมดและเม็ดข้าวสุกที่ป้อนนั้นกลับเป็นไฟเผาไหม้ริมฝีปากของมารดาจนพอง […]

ความเชื่อเรื่องยมบาล คือใคร จากคำสั่งสอนคนเฒ่าคนแก่

ความเชื่อเรื่องยมบาล คือใคร จากคำสั่งสอนคนเฒ่าคนแก่

ความเชื่อเรื่องยมบาล คือใคร จากคำสั่งสอนคนเฒ่าคนแก่   วันนี้ ทางเลขเด็ดออนไลน์ ได้นำเรื่องราวความเชื่อโบราณ ที่ใช้สอนลูกหลาน มาให้อ่านกัน เคยสงสัยไหมว่ายมบาลที่คนโบราณสมัยก่อนชอบสั่งสอนลูกหลานว่า คือผู้พิพากษาดวงวิญญาณที่ไปสู่ภพภูมิเมื่อตายไปแล้ว คือใครมีลักษณะบุคลิกอย่างไร เวลาตายไปแล้วเจอยมบาลต้องทำอย่างไร   คติความเชื่อคนโบราณมนุษย์ทุกชาติพันธุ์ชอบสอนให้เด็ก ๆ ทำความดีละเว้นความชั่ว ปฏิบัติธรรมตามพระธรรมคำสั่งสอนที่บัญญัติไว้ ผู้ใดทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วต้องลงนรก เด็กบางคนสงสัยว่าแล้วไปตอนไหน บางคนทำดีแทบตายไม่ได้ไปสวรรค์สักที คนทำกรรมชั่วยังอยู่ดีมีความสุข คนโบราณชอบตอบว่าเวลาตายค่อยได้ไป แล้วตอนตายจะรู้ได้อย่างไรว่าจะได้ไปสวรรค์หรือนรก ใครตัดสิน กรรมชั่วดีที่ตอนยังมีชีวิตอยู่ทำไว้มีคนจดบันทึกไว้ที่ไหน   เรื่องราวข้างต้นคนโบราณที่เป็นพุทธศาสนิกชนกล่าวว่า เมื่อทุกคนตายไปจะมีเทพองค์หนึ่งชื่อพระยายมราช เทพองค์นี้คือตำแหน่ง และดำรงตามวาระ พระยายมราชองค์ปัจจุบันชาติกำเนิดสมัยพุทธกาลเป็นเจ้าเมือง มีหน้าที่ตัดสินคดีแต่ครั้งหนึ่งจำใจต้องตัดสินความบิดาตนเอง ซึ่งไปฆ่าคนตาย ตามกฎหมายสมัยก่อนจำต้องตายตกไปตามกัน เจ้าเมืองตกอยู่ในภาวะลำบากแต่จำใจสั่งประหารบิดาตนเอง เมื่อเจ้าเมืองสิ้นอายุขัยเหตุแห่งความยุติธรรมที่เคยทำไว้ จนเทพชั้นสูงแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นพระยายมราช ทำหน้าที่ตัดสินความวิญญาณผู้ตาย ข้างกายมีเทพกุมภัณฑ์สองตนคือสุวรรณ และสุวาน เทพที่ว่ารูปกายเป็นยักษ์บุคลิกเป็นชายตัวเล็ก รูปร่างไม่สูงมากนัก ทำหน้าที่คอยตรวจบันทึกว่าผู้ตายเคยทำกรรมชั่วอะไรบ้าง บันทึกที่ว่าเรียกว่าบัญชีหนังหมา บัญชีหนังหมามีลักษณะคล้ายหนังสือเล่มใหญ่ ๆ เชื่อว่าทำจากหนังสุนัข จะบันทึกเรื่องราวกรรมชั่วกรรมดีที่เคยทำตอนยังมีชีวิตอยู่ ปกเป็นหนังแข็ง มีกระดาษหนาสีน้ำตาล ตัวอักษรสีดำจารึกในเนื้อกระดาษคือกรรมที่ได้รับการชดใช้หรือการอโหสิจากเจ้ากรรมนายเวรแล้ว แต่กรรมที่กระทำยังไม่ได้รับผลจะปรากฏเป็นตัวอักษรสีน้ำเงิน ผู้สร้างบาปหนักวิญญาณผู้ตายจะไปสู่นรกภูมิ […]