สัมผัสที่ 6 คนเห็นวิญญาณ เรื่องจริงหรือลวงตา ?
เคยสงสัยไหม? ว่าทำไมบางคนถึงเห็นผีกันบ่อย ๆ แต่บางคนก็ไม่เคยแม้แต่จะเจอเลยสักครั้ง ซึ่งคนที่เห็นวิญญาณ หรือเรื่องลี้ลับเป็นประจำแบบนี้ โดยทั่วไปมักจะถูกเรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็นผู้ที่มี “สัมผัสที่ 6” แท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนนั้นมี “สัมผัสทั้ง 6” อยู่แล้ว นั่นคือ สัมผัสทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย และจิตใจ โดยปกติระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์เราก็มีประสิทธิภาพในการรับรู้ที่แตกต่างกัน เช่น การแยกประเภทของสีทางตา การแยกรสชาติอาหารทางลิ้น ส่วนสัมผัสด้านจิตใจนี่เองที่เรียกกันว่า สัมผัสที่ 6 ซึ่งความสามารถของสัมผัสที่ 6 นั้นก็ยังสามารถแบ่งแยกได้หลายระดับขั้น เช่น การสื่อสารกับวิญญาณ การมองเห็นอนาคตเป็นภาพ หรือที่เรียกว่า “เดจาวู” รวมถึงการโทรจิตสื่อสาร โดยมากแล้วผู้ที่มีสัมผัสที่ 6 มักจะมีมาตั้งแต่วัยเด็ก หรือคนที่เคยผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมา
ถ้าจะมองตามหลักของความเป็นจริงของสมัตภาพมนุษย์แล้ว สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ไม่ใช่เป็นการมองเห็นโดยตรง แต่สิ่งที่มองเห็นได้นั้นเป็นสิ่งสะท้องแสงทั้งสิ้น ในเมื่อภูตผีปีศาจ หรือที่เรียกว่า วิญญาน ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสะท้อนแสงได้ เป็นเหตุที่ทำให้ มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้คะ
สำหรับผู้ที่เรียนรู้กับการมองสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ก็มิใช่เป็นลักษณะของความวิเศษเลิสล้นกว่ามนุษย์ทั่วไป เพียงแต่ได้รับการฝึกให้รู้จักสงบความคิดฟุ้งส้านที่เรียกกันว่า “การนั่งสมาธิ” เพื่อลดพิกัดทำงานของสมองประจำวันลงไป ส่วนการนั่งสมาธิโดยหลับตา (ปิดตา) ก็คือการลดการมองเห็นข้อมูลโดยจงใจ อันทุกคนก็เคยประสพ อย่างเช่น ขณะที่นั่งรถโดยสารทั้งๆที่ลืมตาแต่มองสิ่งข้างทางไม่เห็น ขณะเดียวกันภาพที่บังเกิดในสมองเป็นอย่างอื่น หรือที่เรารู้จักกันว่า “ลืมตาฝัน” ส่วนสำคัญก็คือ การเรียนรู้ถึงการแปลกับสิ่งสัมผัสต่างๆ ว่าเป็นหรือคือ อะไร เป็นต้น จากการฝึกเรียนเหล่านี้ก็จะสามารถ มองเห็นสิ่งหลากหลายที่มองไม่เห็นได้ หรืออย่างที่เรียกว่า “สัมผัสที่ 6”
เท่าที่เคยอ่าน เคยฟัง และเคยคุยกับคนที่มองเห็นสิ่งเหล่านี้ จะมาจากเหตุผลคือ
1.) คนที่เคยผ่านความเป็นความตายมาก่อน เมื่ออยู่ในสภาวะใกล้ตายก็เข้าใกล้กับโลกวิญญาณมาก แต่เมื่อถูกดึงกลับมาแต่จิตที่เปิดไปแล้วจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อกลับมาสู่โลกมนุษย์แต่จิตที่เปิดทำให้มองเห็นวิญญาณได้
2.) คนที่ผ่านพิธีการครอบครู รับขันธ์ เปิดตาที่สาม (เอาแบบของจริงนะครับ พวกหลอกไม่เอา) เหมือนเป็นการเปิดตาให้มองเห็นกายละเอียดได้ ซึ่งวิธีต้องต้องระวังให้ดี เพราะของพวกนี้เปิดแล้วปิดยาก ถ้าใจยังยอมรับไม่ได้ที่จะต้องมองเห็นผีบ่อย ๆ อาจจะเป็นบ้าได้ เพราะทนไม่ได้ที่ต้องเจอผีทุกวัน ไปไหนก็เจอผี หนีไม่พ้น
3.) การนั่งสมาธิ วิปัสนากรรมฐาน เมื่อถึงจุดหนึ่งนอกจากจะเปิดญาณรับรู้แล้ว การนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐานจะเป็นการสร้างบุญบารมีให้กับตนเอง ทำให้วิญญาณเหล่านี้อยากจะมาขอส่วนบุญจึงพยายามปรากฏกายให้เห็น และการนั่งวิปัสนาจะทำให้จิตเปิดและรับรู้โลกวิญญาณได้ วิธีนี้กว่าจะทำได้ต้องผ่านการฝึกจิตทำให้สามารถรับรู้โลกวิญญาณ มองเห็นวิญญาณ แต่จะไม่อ่อนไหวเหมือนวิธีที่ 2 ดังนั้นจึงไม่มีอันตรายแต่อย่างใด
การหาความรู้อย่างแท้จริงกับสิ่งที่เรียกกันว่า “ไสย์” มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ยืนอยู่บนพื้นฐานของ “ความเชื่อ” แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะอยู่ในพื้นฐานของความเป็นไปได้โดยธรรมชาติและสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง และจากจุดนี้ก็สมควรแยกกับคำว่า “ไสย์ศาสตร์” ที่แปลได้ว่า ความรู้เรื่องไสย์ กับความเชื่อถือ ของสังคมทั่วไปที่แปลว่า สิ่งวิเศษหรือคาถาอาคม ฯลฯ
ที่มา : pantip.com
รูปภาพจาก : sanook.com
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พราย ได้นำมาเล่าให้ทุกคนฟังในวันนี้
ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่านด้วยนะคะ
* สามารถติดตามบทความเรื่องลี้ลับออนไลน์ได้เพิ่มเต็มทางเว็บไซต์ เลขเด็ดออนไลน์ *