ความเชื่อโบราณ วิธีป้องกันผีกระสือ

ความเชื่อโบราณ วิธีป้องกันผีกระสือ

ความเชื่อโบราณ วิธีป้องกันผีกระสือ

 

บทความนี้ ทางเลขเด็ดออนไลน์ ได้นำเรื่องราวความเชื่อโบราณ มาฝากกัน เวลามีการตายแบบแปลก ๆ ในหมู่บ้าน ผีกระสือคือหนึ่งในบรรดาผีไทยทั้งหลายที่โดนกล่าวหาว่าคือสาเหตุหนึ่ง แต่คนรุ่นใหม่บางคนยังไม่ทราบว่าผีกระสือตามความเชื่อคนไทยโบราณมีลักษณะอย่างไร แล้วสมัยก่อนจะป้องกันผีกระสือแบบไหน

 

คติความเชื่อคนไทยโบราณเชื่อว่า ผีกระสือมีลักษณะผีเพศหญิง มีแต่หัวกับตับไตไส้พุง ออกหากินตอนกลางคืนเคลื่อนที่ไปพร้อมกับดวงไฟกลมสีแดง เขียวแวววับ จะกลับเข้าร่างตอนฟ้าสาง ยามกลางวันมีลักษณะคล้ายคนทั่วไป แต่จะไม่สบตาคน ไม่พูดจากับใครอยู่คนเดียว คนไทยโบราณเรียกว่าผีลากไส้ คนสมัยก่อนเชื่อว่าใครที่เรียนวิชาไสยศาสตร์แล้วผิดการห้ามจะมีสภาพผีกระสือ คติความเชื่อคนโบราณเชื่อว่าใครที่มีวิญญาณเข้าร่างจนกลายสภาพกระสือแล้ว จะยากที่จะกลับมาสู่ร่างคนปกติ แล้วก่อนตายจะส่งร่างโดยน้ำลายสู่ทายาท

คนไทยสมัยก่อนจะปลูกต้นสับปะรดไว้ที่รั้วบ้าน เพราะเชื่อว่าต้นสับปะรดมีลักษณะพิเศษคือพืชที่มีผลคล้ายหนามชี้สูงประมาณหนึ่งเมตร ใบหยาบหนา บ้านใดที่เพิ่งคลอดลูกจะมีคาวเลือด ก่อนคลอดชาวบ้านจะหาหน่อส่วนจุกยอดฝังกลบไว้ที่รั้วบ้าน เพราะจะกันกระสือจะเข้ามากินตับไตไส้พุงเด็กทารกและหญิงเพิ่งคลอด บางบ้านจะนำเคียวเกี่ยวข้าวผูกไว้ที่อู่เด็กทารกเพราะ กระสือกลัวว่าจะโดนเกี่ยวไส้ตนเองเวลาลอยเข้ามาใกล้

เรื่องผีกับความเชื่อมีอยู่ทั้งทางฝั่งเอเชียและยุโรป เพราะมนุษย์จะฝังแน่นเรื่องตายแล้ววิญญาณยังคงอยู่วิญญาณร้ายคือผี อย่างเรื่องผีกระสือวิทยาศาสตร์อธิบายว่าอาจคือกาซมีเทนที่พื้นดินตามธรรมชาติปล่อยออกมาลอยขึ้นไปในอากาศเมื่อพื้นที่ใดมีมากเกินไป จะปล่อยออกมาคล้ายดวงไฟที่ชาวบ้านเรียกว่าผีกระสือ

 

 

 

ติดตามอ่านความเชื่อ และคำทำนายแม่นๆแบบนี้ได้ใหม่ที่ www.lekdedonline.com

เลขเด็ดออนไลน์ ตรวจผลหวยรัฐบาล หวยลาว หวยฮานอย หวยมาเลย์ แนวทางหวย รวบรวมทุกอย่างครบจบในเว็บเดียวเพื่อความสะดวกสบาย และยังมี วิธีการขอหวย สถานที่ขอหวยที่ศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยรวบรวมมให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาอ่านศึกษากันอย่างครบครัน แนวทางที่ทางเว็บเรานำมาแบ่งปันให้คนรักหวยได้ชม.

*** ดวงรายวัน เลขเด็ดมงคล เลขมงคล เลขเสี่ยงทาย ดูดวงจากตัวเลข ทำนายฝัน ***

ต้องที่นี่ >>> เลขเด็ดออนไลน์ <<<

 

 

เครดิต : thaiza.com

เรื่องน่าสนใจ

ประเพณี ก่อเจดีย์ทราย ภาคไหน  และมีความเป็นมาอย่างไร

ประเพณี ก่อเจดีย์ทราย ภาคไหน และมีความเป็นมาอย่างไร

ประเพณี ก่อเจดีย์ทราย ภาคไหน และมีความเป็นมาอย่างไร   วันนี้ ทางเลขเด็ดออนไลน์ ได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณี ที่สืบทอดกันตั้งแต่โบราณ มาฝากกัน ประเพณีไทย ก่อเจดีย์ทราย ขนทรายเข้าวัด มีความเป็นมาอย่างไร ก่อเจดีย์ทราย มีความสำคัญกับ วันสงกรานต์ อย่างไร   ประเพณีก่อเจดีย์ทรายเนื่องในวันสงกรานต์ ความเป็นมา ประเพณีการก่อเจดีย์ทราย ใน เทศกาลสงกรานต์ นั้น เป็นสิ่งที่ชาวไทยพุทธปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยการ ก่อพระเจดีย์ทราย ถือเป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนาโดยตรง ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อเรา เข้าวัดทำบุญ หรือ ประกอบกิจกรรมต่างๆ ภายในวัด เมื่อเดินออกมาจากวัด เศษดินเศษหินต่างๆ จะติดรองเท้าเราออกมาด้วย ซึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธจะถือว่าสิ่งก่อสร้างทุกอย่างภายในวัดไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ศาลาการเปรียญ อาคารต่างๆ แม้กระทั่ง ก้อนหิน ดิน ทราย ต้นไม้ ทุกอย่างญาติโยมได้ถวายไว้เป็นสมบัติของพระศาสนาแล้ว ดังนั้น เมื่อเราเอาสิ่งใดออกไปจากวัดโดยพละการคือไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าอาวาส แล้วถือเป็นการละเมิดศีลข้อที่ 2 (ห้ามลักทรัพย์)ทั้งสิ้น คนโบราณจึงหาวิธีการแก้ปัญหานี้ด้วยการให้มีประเพณีการขนทรายเข้าวัดเพื่อเป็นการใช้หนี้คืนสงฆ์ และก่อพระเจดีย์ทรายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในการก่อพระเจดีย์ทรายจะถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้และธงสีต่างๆ เพื่อความสวยงามตามแต่ละคนจะสร้างสรรค์ ก่อเจดีย์ทราย สงกรานต์ จะมีการประกวดเจดีย์ทราย ให้ชุมชนได้ร่วมกันขนทรายเข้าวัดเพื่อได้ร่วมกันทำบุญและร่วมใจกันก่อเจดีย์ทรายด้วยความรัก ความอบอุ่นของครอบครัว รวมทั้งสร้างความสามัคคีกันในชุมชน     ประเพณีก่อเจดีย์ทราย เป็นคติความเชื่อเรื่องของเวรกรรมในพระพุทธศาสนา การก่อเจดีย์ทรายเพื่อนำเศษดินทรายที่ติดเท้าเราออกจากวัด คืนวัดใน รูปเจดีย์ทราย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้เป็นกุศลอานิสงส์แก่ตนเองและครอบครัว คือจะได้อานิสงส์มาก คือจะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ […]

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "ผงชูรส" ที่คนมักเข้าใจผิด มาดูกันว่า ผงชูรสทํามาจากอะไร ?

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “ผงชูรส” ที่คนมักเข้าใจผิด มาดูกันว่า ผงชูรสทํามาจากอะไร ?

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “ผงชูรส” ที่คนมักเข้าใจผิด   รายการพลพรรคนักปรุง รายการทางทีวีช่องหนึ่ง บอกว่า “ผงชูรสอันตรายเพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติจนเข้มข้น” ในโภชนาการด้านวิทยาศาสตร์ ผงชูรส เป็นสารปรุงแต่งที่ใช้มันสำปะหลังไปเลี้ยงเชื้อแบคทีเรีย     รศ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝากบอกถึง คุณพล ตัณฑเสถียรว่า คลิปรายการดังกล่าวไม่ถูกนะ ที่ไปบอกว่า จริงๆ ผงชูรสไม่ได้สกัดจากมันสำปะหลังหรือวัตถุดิบธรรมชาติอะไรครับ วัตถุดิบธรรมชาติเหล่านั้นเอาไปเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อแบคทีเรีย ให้ผลิตสารตั้งต้นสำหรับทำผงชูรสต่างหาก ในคลิปรายการของคุณพลนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ (ซึ่งไม่ระบุชื่อและสังกัด ว่าเป็นใคร ทำงานที่ไหน) มาบอกว่า ผงชูรสเป็นสารที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง ทำให้มันเข้มข้นสูง เมื่อคนกินเข้าไป จึงเป็นอันตราย คล้ายกับเกิดภาวะ overdose ของยา… โดยยกตัวอย่างเรื่อง สารเบต้าแคโรทีน ที่สกัดจากแครอทมาเป็นเม็ดอาหารเสริม ซึ่งถ้ากินมากไปก็จะ overdose     แต่กระบวนการผลิตผงชูรสไม่ใช่แบบนั้น จริงๆ แล้วผงชูรสผลิตโดยการหมักเชื้อจุลินทรีย์ ให้เชื้อผลิตกรดอะมิโนกลูตามิคออกมา โดยเชื้อจุลินทรีย์จะถูกเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อ ซึ่งประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการผลิตสาร … […]

วันนี้วันพระ วันห้ามมีเซ็กส์ ความเชื่อ วันพระใหญ่

วันนี้วันพระ วันห้ามมีเซ็กส์ ความเชื่อ วันพระใหญ่

วันนี้วันพระ วันห้ามมีเซ็กส์   คนไทยกับความเชื่อแยกกันไม่ออกสักที วันนี้มาดามจึงนำความเชื่อเรื่อง ห้ามมีเซ็กส์ ในวันพระมาเล่าสู่กันฟัง  ใครที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน จงรู้เอาไว้เลยว่าแม้เซ็กส์จะเป็นเรื่องเสรีและคนพูดถึงกันแบบเปิดเผยได้มากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แต่ความเชื่อที่มาดามนำมาบอกนี้ยังแข็งแกร่งในความคิดของหลายคน ความเชื่อที่ว่า “ห้ามมีเซ็กส์ในวันพระ” เป็นสิ่งที่คนโบราณห้ามกันมาแต่นานนม ถ้าให้มาดามคิดเอง อธิบายเองหลังจากที่ได้ยินความเชื่อนี้เป็นครั้งแรกคงบอกว่า เพราะวันพระคือวันที่ควรถือศีล ควรเข้าวัด  ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่คิดก็แอบตรงกับสิ่งที่คนโบราณอธิบายอยู่หน่อยๆ เพราะคำอธิบายในความเชื่อนี้มีว่า วันพระ คือ วันมงคล ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์ที่มนุษย์อย่างเราๆ ควรจะหยุดกระทำการทุกสิ่งที่นับว่าเป็นเรื่องคาวโลกีย์ และถ้าคุณกำลังคิดว่า ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อแต่งงานแล้ว เป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำไมจะมีเซ็กส์ในวันนี้ไม่ได้ มาดามก็ขออธิบายเหตุผลของคนโบราณให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้   เนื่องจากวันพระที่มี 1 วันในสัปดาห์ เป็นวันที่เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ถือศีล 5 อย่างจริงๆ จังๆ และได้ใช้วันนี้เป็นโอกาสเข้าวัดทำบุญฟังธรรม รวมถึงมีกิจกรรมในเชิงทำนุบำรุงศาสนา แต่การมีเซ็กส์ในวันพระถือว่าเป็นการกระทำที่อัปรีย์จัญไร ไม่เป็นสิริมงคลต่อชีวิตและครอบครัวและว่ากันว่ายังส่งผลให้เทวดาประจำตัวมีฤทธิ์เดชน้อยลงจนไม่สามารถปกป้องคุณได้เท่าที่ควร เพราะการมีเซ็กส์ที่กิเลสกำลังครอบงำจิตใจถือเป็นช่องว่างให้จิตอ่อนแอจนสิ่งชั่วร้ายเข้ามาใกล้ได้นั่นเอง นอกจากนี้ยังเชื่อว่า วันพระคือวันปล่อยผี ในวันนี้วิญญาณทั้งหลายจะออกเที่ยวไปในที่ต่างๆ เมื่อผ่านมาเห็นภาพที่คุณกำลังจัดเซ็กส์กันอยู่ จะโกรธ ไม่พอใจและจะพากันสาปแช่งให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณ แถมเจ้าผีร้ายวิญญาณหลอนบางตนที่ถูกปล่อยให้เที่ยวเล่นกันในวันนี้ อาจจะหลง (หรือตั้งใจ) ลงมาปฏิสนธิเป็นบุตรน้อยในท้องของคุณก็เป็นได้ เอาล่ะ ไหนๆ ก็พูดถึงวันที่ห้ามมีเซ็กส์ในวันพระกันแล้ว […]

ผลไม้ที่ไม่ควรกินคู่กัน อาจจะมีอันตรายได้ จากประโยชน์ จะกลายเป็นโทษ !!

ผลไม้ที่ไม่ควรกินคู่กัน อาจจะมีอันตรายได้ จากประโยชน์ จะกลายเป็นโทษ !!

ผลไม้ที่ไม่ควรกินคู่กัน อาจจะมีอันตรายได้   ประเทศไทยโชคดีที่มีผลไม้ให้กินตลอดทั้งปี สาวไทยเลยสามารถลดน้ำหนักจากการทานผลไม้ที่มีประโยชน์ได้แบบไม่เปลืองเงินมากนัก แต่หากจะทานแค่อย่างเดียวมันก็อาจจะไม่สะใจ เลขเด็ดออนไลน์ เองก็ชอบทานสองชนิดพร้อมกัน แต่นายแพทย์กฤษดา ศิริมพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้เผยเตือนเราสาวๆ ว่ายังไงก็มีผลไม้บางคู่ที่ทานพร้อมกันไม่ได้อยู่เหมือนกันนะ   1. กลุ่มที่มีรสหวานเหมือนกัน ถ้าสังเกตดีๆ ผลไม้บางชนิดก็หวานเจี๊ยบจนแสบคอ และผลไม้เหล่านั้นล่ะที่ไม่ควรทานเป็นคู่ด้วยกัน เช่น ทุเรียนกับลำไย ขนุนกับละมุด เงาะกับลองกอง เพราะความหวานของผลไม้เหล่านี้มาจากน้ำตาลฟลุกโตส ซึ่งเมื่อทานเข้าไป มันจะกลายเป็นไขมันในเวลาต่อมา และเข้าไปสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย แน่นอนว่าจะก่อให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือก็อาจจะหมดสวยเพราะลงพุงไปเลย   2. กลุ่มที่เป็นแป้งเหมือนกัน หากแยกไม่ออกว่าผลไม้ชนิดไหนเป็นแป้งบ้าง ให้สังเกตช่วงดิบกับช่วงสุก โดยถ้าทานดิบมันจะออกเนื้อแน่นๆ แต่เมื่อไหร่สุกปุ๊บ มันจะหวานมาก นี่ก็เพราะแป้งตอนดิบ เปลี่ยนเป็นน้ำตาลตอนสุกนั่นเอง แม้จะทานเข้าไปตอนเป็นแป้ง แต่เวลาต่อมามันก็จะกลายเป็นน้ำตาลอยู่ในร่างกายของเรานี่่ล่ะ จากนั้นก็จะกลายเป็นไขมัน สะสมอยู่บริเวณตับ เสี่ยงตับแข็งหรือมะเร็งตับไปอีก ยกตัวอย่างผลไม้ที่หาทานง่ายๆ จนอาจพลาดจับมาทานคู่กันได้ ก็คู่นี้เลย มะม่วงดิบกับกล้วย หรือมะม่วงกับฝรั่ง   3. กลุ่มที่มีโพแทสเซียมเหมือนกัน การได้รับโพแทสเซียมในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลให้ไตทำงานหนัก […]